ประกัน กับ ความตาย


“ประกัน  กับ  ความตาย”

ผมชอบโฆษณาเกี่ยวกับประกันชีวิต  ทั้งแนว   “Classic” แบบ “ปู่ชิว” ที่ต้มน้ำแกงใส่กระติกเดินขึ้นเขาไปสีซออู้ให้คนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับฟังทุกเช้าเป็นประจำทุกวัน ตลอด 30 ปี  ซึ่งเรียกน้ำตาคนแก่อย่างผมได้ชงัดนัก

ทั้งแบบ “รักลูก” ที่แทนความรักของพ่อที่ทุ่มเทให้กับลูกตั้งแต่วัยแบเบาะจนกระทั่งโตเข้าสู่วัยคะนอง  ให้อภัยลูกเสมอแม้ลูกจะทำผิดเพียงไหนก็ตาม  และเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของพ่อเอง

ทั้งแบบคนขายประกันที่กลายเป็น “แมลงสาป” ที่มีภาพลักษณ์ที่น่ากลัว  น่าขยะแขยง  เมื่อต้องเข้าหาลูกค้าเพื่อขายประกัน จนกว่าจะพากเพียรพยายามทำความดีให้ลูกค้าเสียก่อน   ค่อยตาสว่างเห็นร่างที่แท้จริงว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาเมื่อไหร่นั่นแหละ  ถึงจะได้ขายประกัน

ทั้งแบบ “แสงดาว” ที่ป่วยเป็นโรค “ลิวคีเมีย” ระยะสุดท้าย  ที่คนรักของเธอตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างเธอจวบจนวาระสุดท้าย ……………………………………………………………………………

วันที่ลูกคนแรกผมเกิด   ภรรยาผมเคยขอร้องให้ผมทำประกันชีวิต   เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวหากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับผม    ซึ่งผมไม่ได้รับปาก ไม่ปฏิเสธและหาทางบ่ายเบี่ยงเธอมาโดยตลอด

จนกระทั่งวันหนึ่ง ดูเธอจะหมดความอดทนต่อความเมินเฉยของผม  พยามยามคาดคั้นเหตุผลที่ผมไม่สนใจคำขอร้องของเธอเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับบ่นว่ากล่าวตำหนิที่ผมไม่รักและห่วงครอบครัวเลย เพื่อครอบครัวแค่นี้ทำไมไม่ยอมทำ ต่างกับครอบครัวของคนอื่น ซึ่งล้วนยินดีทำประกันชีวิตเพื่อครอบครัวกันทั้งนั้น

มัวแต่เอาเงินไปลงทุนในหุ้น”

ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตของผมให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป

………………………………………………………………………………

หน้าร้อนของคืนวันหนึ่ง      สมัยที่ผมยังเป็นเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่น    ขณะที่ผมกำลังเล่นแย่งบอลกับไอ้ตุ๋ยเพื่อนผมใกล้บ้าน   พี่ชายและพี่สะใภ้ของไอ้ตุ๋ยก็มาชวนพวกเราไปนั่งรถเล่นกัน    ผมกับไอ้ตุ๋ยจึงรีบขึ้นรถไปด้วยอย่างยินดี

นั่งรถไปสักพักพี่ชายไอ้ตุ๋ยก็บอกว่ากับพวกเราว่า  เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระแถวพระโขนงสักหน่อยนึงนะ     พอไปถึงที่หมาย   พวกเรายังต้องเดินเข้าไปในสวนมืดๆอีกพอสมควร  จึงจะถึงบ้านที่พี่ชายไอ้ตุ๋ยบอกว่าจะมาทำธุระกัน

พอไปถึง    เจ้าของบ้านที่พี่ชายไอ้ตุ๋ยเรียกว่า อาจารย์ ก็ให้พวกเราไปคอยในห้องซึ่งเต็มไปด้วย พระหมู่บูชา รูปปั้นฤาษี  ผ้ายันต์  มีดหมอ ที่ลงอักขระคาถาอาคม รูปร่างคล้ายกริช   บาตรน้ำมนต์ รูปปั้น  กุมารทอง และอื่นๆอีกมากมายที่ล้วนน่ากลัวทั้งนั้น

necromancy_003.jpg สักพักอาจารย์ก็เข้ามาในชุดห่มขาวเหมือนหมอผีในหนังจอมขมังเวทย์ไม่มีผิด    พี่ชายกับพี่สะใภ้ไอ้ตุ๋ยก็ถามปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของหายอะไรนี่แหละ  หลังจากฟังเรื่องปรึกษาเสร็จ  อาจารย์ก็หลับตาสักพัก  ก็บอกว่าของที่หายไปนั้น  คนที่มีลักษณะแบบนั้นแบบนี้เป็นคนเอาไปและอยู่ที่นั่นที่นี่  หมดสิทธิ์ได้ของคืน เพราะเหตุนั้นเหตุนี้

ด้วยความเป็นเด็กวัยรุ่น  ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว   จึงกระซิบกับไอ้ตุ๋ยแอบนินทาอาจารย์ลับหลังอย่างสนุกสนานพร้อมกับหัวเราะคิกๆเบาๆอยู่ด้านหลังห้อง      พอพี่ไอ้ตุ๋ยเสร็จธุระเรียบร้อยก็ถึงเวลาลากลับ   จึงเรียกให้ผม 2 คนเข้ามาขอพรและลาอาจารย์กลับ  พร้อมกับบอกว่าไหนๆก็มาแล้วอยากรู้อะไรให้ถามอาจารย์ได้เลย

พออาจารย์เห็นผมจึงพูดว่า

“ ไอ้ตี๋นี่.. มันไม่เชื่อข้าหรอก  เมื่อกี้มันยังนินทาล้อเลียนข้าอยู่เลย”

อาจารย์พูดพร้อมกับค้อนผมทีนึง

พี่ไอ้ตุ๋ยย้ำ “เอ้า.. อยากถามอะไรถามเลย”

ด้วยความที่เป็นวัยคะนองผมจึงลองของอาจารย์ทันที

“คือ…  ผมแค่อยากรู้ว่า   ผมจะตายเมื่อไหร่ครับ”

คำถามของผมเล่นเอาหัวเราะขำกลิ้งกันทั้งห้องจอมขมังเวทย์เลยทีเดียว

แต่อาจารย์ก็อมยิ้มพูดกับผมว่า

“ไอ้ตี๋เอ้ย!…  เอ็งแน่ใจนะว่าเอ็งไม่อยากรู้อะไรอย่างอื่น  หา…”

“คนอื่นมีแต่  อยากรู้ว่าจะรวยเมื่อไหร่  แต่งงานเมื่อไหร่  แฟนเป็นไง

สวยหล่อแค่ไหน  เอ็งนี่มาแปลก  ไม่ธรรมดา  มา.. ข้าจะดูให้”

อาจารย์ว่าแล้วก็นั่งหลับตาบริกรรมคาถาพึมพำแบบจอมขมังเวทย์  สักพักก็ลืมตามาบอกว่า

“ไอ้ตี๋   ที่เอ็งอยากรู้วันตายน่ะ  ข้าบอกตรงๆไม่ได้หรอก แต่ข้าบอกได้แค่คำเดียวว่า

เอ็งน่ะ  ตายดี  ไม่ตายร้ายหรอก”

“เอ็งจะตายเอาตอนอายุ 70   ข้าบอกได้แค่นี้แหละ”

บอกมาตั้งหลายคำ  ไหนว่า “บอกได้แค่คำเดียว”  ผมคิดอยู่ในใจ

พี่สะใภ้ไอ้ตุ๋ยยังหันมาพูดว่า “อุ๊ย..  อายุยืนดีจัง” พร้อมกับยิ้มให้

ผมรีบสวนอาจารย์กลับไปในทันที

“อาจารย์เล่นทายแบบนี้   ก็พิสูจน์ไม่ได้สิครับว่าอาจารย์แม่นแค่ไหน ขี้เกียจรอถึงวันนั้นครับ”

อาจารย์ยิ้มเหมือนจะรู้ว่าผมจะสวนแบบนี้จึงพูดว่า

1-176361.jpg“เอาอย่างงี้ดีกว่า  ไอ้ตี๋   ข้าเอาชีวิตของข้าเป็นเดิมพันดีมั้ยล่ะ”

“ข้าขอทำนายตัวข้าเองว่าจะตายภายในไม่เกิน 2 ปีจากนี้ ”

“หากหลังจากนี้ 2 ปี   ข้ายังไม่ตายและยังอยู่สุขสบายดี

เอ็งเอา ตีน  มาเหยียบหน้าข้า ได้เลย  ดีมั้ย”

คำท้าของอาจารย์ทำเอาพวกเราอึ้งงียบไปทั้งห้อง   ซึ่งน่าจะหมายถึงทั้งอาจารย์และผมต่างยอมรับคำท้านั้นโดยปริยาย หลังจากลากันเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่เดินกลับมาที่รถจอด  ก็ได้ยินเสียงหมาทั้งเห่าทั้งหอนแบบในหนังผีตลอดทางที่เดินกลับ  เสียงมันช่างโหยหวนเสียเหลือเกิน ส่วนผมกับไอ้ตุ๋ยไม่รู้สึกอะไร   คาดว่าเด็กแถวนั้นคงมาหอนเล่นเหมือนที่พวกเราเคยเล่นกันเป็นประจำ   แต่พี่ชายพี่สะใภ้ไม่พูดอะไรเลย  เดินจ้ำอ้าว  ไม่กี่อึดใจก็ถึงที่จอดรถอย่างรวดเร็ว      มิน่าล่ะพี่ไอ้ตุ๋ยถึงชวนพวกเรามานั่งรถเที่ยวเพราะกลัวผีนี่เอง

ขณะที่พวกเรานั่งรถกลับ    พี่ชายไอ้ตุ๋ยเล่าให้พวกเราฟังว่า อาจารย์เป็น “ฤาษีตาไฟ” นั่งเทียนเบิกเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต    นอนโลงศพทุกคืน วันดีคืนดีก็จะไปนอนคุยกับผี ด้วยการไปนอนในป่าช้า ที่เมื่อกี้พวกเราเดินผ่านมานั่นแหละ

ผมกับไอ้ตุ๋ยซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป   กลับไม่เชื่ออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว    ได้แต่พูดถึงเหตุการณ์ที่จะได้ถีบหน้าอาจารย์ล่วงหน้า   อย่างสนุกสนานเมามันตลอดทางที่กลับบ้าน

…………………………………………………………………………………

หลายปีผ่านไป

ผมกับไอ้ตุ๋ยต่างก็แยกย้ายกันคนละทิศคนละทาง 10 กว่าปี   จนมีอยู่วันหนึ่งเจอกันโดยบังเอิญ    หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันด้วยเหล้าเบียร์อยู่พอสมควร   ไอ้ตุ๋ยจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น

“เฮ้ย!.. เอ็งรู้มั้ย  จารย์หมอผี จอมขมังเวทย์ที่พี่ข้าเคยพาไปเมื่อหลายปีก่อนน่ะ  ตายไปแล้วว่ะ”

ผมนั่งทบทวนอยู่พักนึงถึงนึกขึ้นได้      “จริงเหรอ…  เป็นอะไรตายวะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน  พี่ข้าบอกว่า ยังไปงานศพจารย์ที่วัดเลย ตายแล้วชัวร์

คนทั้งศาลายังบอกว่าอาจารย์แม่นมาก  ตายตามที่ตัวเองได้ทำนายไว้

แม่นเป๊ะอย่างกะตาทิพย์เลยว่ะ”

“ว้า!… แบบนี้  ข้าก็อด  ถีบหน้า จารย์น่ะสิ”

ผมบ่นพรางยิ้มพรางเสียดายแบบทีเล่นทีจริง  พร้อมทั้งหัวเราะฮากันอย่างสุดมันส์

“ข้าว่า  จารย์คงรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งแน่เลยว่ะ  ถึงรู้ว่าจะตายเมื่อไหร่”

ผมเอ่ยขึ้นมาลอยๆแบบไม่ยอมจำนนต่อคำทำนาย

“ว่าแต่ถ้าสมมติว่าจารย์ตาทิพย์ แม่นจริง  แล้วเอ็งก็ต้องตายตอน 70 เอ็งจะทำไงวะ”

ไอ้ตุ๋ยซักลองเชิงอยากรู้ว่าผมจะกลัวตายมั้ย ผมนั่งคิดอยู่พักนึงจึงตอบไปว่า

“ถ้าคนเรา  รู้วันตายล่วงหน้าได้   ก็ดีน่ะสิ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า

ไม่กลัวตาย   เมื่อถึงเวลา”

“ข้าก็จะทำในสิ่งที่อยากทำให้เสร็จ     ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง   จะได้หมดห่วง”

“แต่ที่แน่ๆ   ข้าคงไม่ทำประกันชีวิตว่ะ   ถ้ารู้ตัวว่าต้องตายตอนแก่”

หลังจากนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยถึงชีวิตในวัยนั้นอย่างสนุกสนาน

“ยังไงๆ  ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะเว้ย”

ไอ้ตุ๋ยทิ้งคำพูดเตือนผมไว้  เหมือนรู้นิสัยที่ดื้อดึงของผม  ก่อนที่จะจากกันไปคืนนั้นด้วยความเมาทั้ง 2 ฝ่าย

…………………………………………………………………………………

หลังจากผมเล่าเรื่องคืนนั้นที่พระโขนงให้ฟัง   ภรรยาผมก็ไม่เคยรบเร้าให้ผมทำประกันชีวิตอีกเลย

แต่เพื่อให้เธอเห็นว่า    ความคิดของผมถูกต้อง     ผมได้เอาจำนวนเงินที่จะซื้อประกัน  มาลงทุนในหุ้น  จนงอกเงยให้ผลตอบแทนมากกว่าที่เธอจะได้รับ   หากผมต้องจากไปก่อนเวลาอันควรเสียอีก

ส่วนผม   ก็มุ่งมั่นทำแต่ความดี   ทำบุญกุศลสม่ำเสมอ  อุทิศชีวิตที่เหลือของผมเพื่อครอบครัว     ให้ความรักความอบอุ่นกับครอบครัวที่ผมรักยิ่งอย่างเต็มที่   ทดแทนคุณพ่อแม่  พาแม่ท่องเที่ยวต่างประเทศเสมอเมื่อมีโอกาส       และคอยห่วงใยเอื้ออาทรต่อพี่น้องและคนรอบข้างของผมเสมอนับแต่นั้นเป็นต้นมา

“ผมเตรียมพร้อมที่จะเดินทางแล้ว ครับ”

8 Responses to “ประกัน กับ ความตาย”

  1. Raphin Phraiwal Says:

    มาอ่านข้อเขียนของพี่ matrix ครับ
    ผมว่าน้อยคนครับที่จะทำใจล่วงหน้าได้ เมื่อทราบวันตาย
    และคนที่จะตายแบบไม่ทรมานก็ต้องเป็นคนมีบุญจริงๆครับ
    ยิ่งพี่ matrix ใช้ชีวิตโดยการทำบุญสม่ำเสมอยิ่งเป็นการไม่ประมาท และเป็นการต่อบุญ นับถือครับ

  2. nong Says:

    เหมือนเป็นกระจกสะท้อนอะไรบางอย่างจากตัวพี่แมกซ์

    จะมีสักกี่คน ที่พร้อมสำหรับการเดินทางต่อไปแล้ว

    จะมีสักกี่คน ที่คิดถึงคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง

    จะมีสักกี่คนที่คิดว่าพรุ่งนี้อาจเป็นวันสุดท้าย

    อาจจะมีคนที่ชื่อ แมกซ์ อีกคน ที่รวยกว่าพี่ในวันข้างหน้า

    แม็กซ์คนนั้น อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่า แม็กซ์คนนี้

    แต่รวยแล้วปล่อยวางทุกอย่างได้

    ผมว่าอาจมีแค่ แมกซ์ นี้……..คนเดียวในโลก

  3. bsk(มหาชน) Says:

    บางทีเราก็ไม่ต้องรอนาทีเฉียดตายจึงจะพร้อมที่จะทำความดี

    ผมได้แง่คิดอีกหนึ่งจากที่ดูรายการเรื่องจริงผ่านจอ

    ชายคนหนึ่งขับรถกระบะโดยมีเพื่อนหญิงนั่งมาด้วย

    แล้วรถก็มาจอดติดไฟแดงที่แยกแห่งหนึ่ง

    ขณะเดียวกันรถพ่วงคันหนึ่งซึ่งได้สัญญาณไฟเขียวก็เลี้ยวขวาเข้ามายังถนนสายที่ชายคนนั้นจอดรถรออยู่

    ด้วยความที่ประมาทและตีวงกว้าง รถพ่วงคันนั้นก็หมุนเข้าหารถของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

    จนล้อหน้าของรถพ่วงไต่ขึ้นไปทับรถกระบะยุบลงมาทั้งแถบ โดยเฉพาะฝั่งคนขับ

    เหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารไม่ได้รับอันตราย สามารถเปิดประตูเอาตัวรอดออกมาได้

    แต่ด้านคนขับถูกรถทับแบน ไม่รู้ชะตากรรมคนในรถว่าจะสาหัสหรือถึงตายหรือไม่

    รถกู้ภัยมาถึง เห็นสภาพแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะรอด

    แต่เห็นการขยับเขยื้อนหรือส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ นั่นก็มีความหวัง

    กว่าจะรอรถยกมาซึ่งนานนับชั่วโมงก็เกรงว่าคนในรถจะทนเจ็บไม่ไหว

    รถยกมายกรถพ่วงออกไป เห็นสภาพกระบะแล้ว

    ไม่น่าเชื่อว่าจะรอด ….ยังไม่พอ

    เมื่อช่วยงัด ช่วยตัดเหล็กตัวถังรถและพาคนเจ็บออกมา

    ปรากฏว่า เขาแทบจะไม่มีแผลบาดเจ็บรุนแรงอะไรเลย ไม่มีอะไรหักหรือแผลฉีกขาด

    พาตัวส่งร.พ.ไม่กี่วันก็หลับบ้านได้

    เป็นปาฏิหาริย์หรืออย่างไร

    นับแต่นั้น พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป

    หมั่นเร่งทำความดีไม่เคยขาด เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย แต่คงไม่ทุกครั้งที่รอดปลอดภัยมาได้เช่นนี้

    จอดรถอยู่ดีๆก็มีรถใหญ่มาทับแบนแล้วรอดมาได้

    เขาบอกมันเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ หนักเบาก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำในอดีต

    หมั่นทำความดีเยอะๆ ที่หนักก็อาจเป็นเบา อย่างที่เขาประสบพบเจอ

    ผมเองเป็นคนพุทธ แม้จะเป็นพุทธที่แย่ๆ

    แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นพุทธ ผมจึงเชื่อในเรื่องของกรรมอย่างแน่แท้

    เพราะหลักใหญ่ใจความสำคัญประการหนึ่งที่องค์ศาสดาสั่งสอน ก็เป็นเรื่องของกรรมไม่ใช่หรือคับ

    ผมคิดว่า การหมั่นทำดีสร้างบุญกุศลก็เหมือนการหยอดกระปุกออมสิน

    วันละนิดละหน่อย หยอดไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เต็มกระปุก เราก็มีทุนที่จะทำอะไรอีกต่อไป

    แต่อดใจไว้หน่อยค่อยๆทำ ขอเพียงสม่ำเสมอ เราก็ไม่ด้อยกว่าใครเลยคับ

  4. bsk(มหาชน) Says:

    อ้อ..เกือบลืม

    เรื่องของชายขับรถกระบะถูกรถพ่วงทับ

    ขณะที่อยู่ในรถ ไม่ทราบว่าช่วงไหน

    แต่มือเขากำพระองค์หนึ่งไว้ตลอด

    ถึงกับบนบาลไว้ว่า ถ้ารอดชีวิตออกไปได้

    เขาจะบวชทดแทนพรรษาหนึ่ง

    และเขาก็ได้ทำตามที่บนบาลไว้

    และนี่อาจเป็นจุดหนึ่งที่พลิกเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาไปตลอดกาล..

    ก็ไม่ทราบว่าเขากำพระอะไรอยู่ในมือ..

  5. ไททิส สิริอัสน์ Says:

    คิดไปคิดมาก็จริงครับ ลงทุนในหุ้นคุ้มกว่าประกันชีวิต
    แต่สำหรับอีกหลายคน ประกันชีวิตดีกว่าครับ ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

  6. โหน่ง Says:

    จะมีสักกี่คนที่พร้อมเดินทาง

    จะมีสักกี่คนที่อยู่เพื่อคนอื่น

    อาจจะมีคนชื่อแมกซ์อีกหลายคนที่รวยกว่าแมกซ์คนนี้

    อาจจะมีอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า

    แต่ที่แน่ ๆ แมกซ์ ทีมีจิตใจดี ๆ อย่างนี้

    อาจจะมีคนนี้คนเดียวในโลกก็ได้

    และเราก็โชคดี ที่ได้เขามาเล่าเรื่องให้เราฟัง

    ขอบคุณครับ

  7. apichai214 Says:

    พี่ Matrix ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจคือ พี่ต้องการสื่อให้แฟนพี่เข้าใจว่าเรื่องเอาเงินไปลงทุนในหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนมากกว่าการทำประกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องฤาษีตาไฟครับ ????

  8. Matrix Says:

    ฤาษีตาไฟท่านนั้น กล้าเดิมพันวันตายของท่านเองโดยให้เด็กรุ่นอย่างผมเหยียบหน้า
    ย่อมมีวิชาและไม่ธรรมดาครับ และสุดท้ายท่านก็จากไปแล้วตามที่ทำนายอย่างแม่นยำ
    ผมเพียงแต่ชี้ให้ภรรยาเห็นว่า ผมยังหนังเหนียว ยังไม่จากครอบครัวไปง่ายๆหรอก
    เธอถึงยอมหมดห่วง เลิกตื๊อให้ผมทำประกันอีกต่อไปครับผม 😉


ใส่ความเห็น