ยุทธการ “ ลอกเนื้อ มังกร ”
ในสมัยปลายราชวงศ์เจี่ย มีคหบดีใหญ่ที่ร่ำรวยมากนามว่า “ สุมาเต๊กไต๋ ” มีลูกชายหลายคน ทุกคนล้วนขยันขันแข็ง ช่วยกันทำการค้าเจริญรุ่งเรืองจนมีกำไรมหาศาล
สาเหตุที่ลูกๆทุกคนประสบความสำเร็จนั้น เนื่องจาก “ สุมาเต๊กไต๋ ” เป็นคนออกหน้าและออกทุนรอนในการเริ่มต้นกิจการให้ก่อน จากนั้นจึงระดมทุนที่เหลือจากชาวบ้านทั่วไป ทำให้กิจการของลูกๆ “ สุมาเต๊กไต๋ ” ทุกคน ต่างประสบความสำเร็จก้าวหน้ากว่ากิจการของตระกูลอื่นอย่างรวดเร็ว
ลูกชายคนที่ 7 กับลูกชายคนที่ 11 ของ “ สุมาเต๊กไต๋ ” มีนิสัยชอบแต่งตัวทันสมัย ทำอะไรค่อนข้างรีบและรวดเร็ว “ สุมาเต๊กไต๋ ” เลยให้ไปทำกิจการขายสินค้าสะดวกจ่าย โดยตั้งชื่อร้านว่า “ 7 + 11 ” โดยนโยบายของร้านก็คือ เปิดร้านให้ลูกค้าเข้ามาจับจ่ายใช้สอยได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน
โดยสั่งสินค้าที่เห็นว่ากำลังเป็นที่นิยมของชาวบ้านมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก โดยขายเป็นเงินสด งดเชื่อ แล้วค่อยๆทะยอยคืนเจ้าหนี้การค้าเป็นงวดๆ เข้าทำนอง เอาเงินสดมาหมุนก่อนค่อยจ่ายคืนช้าๆทีหลัง จึงทำให้ร้าน “ 7 + 11 ” ไม่มีหนี้สิน มีแต่เงินสดอยู่เต็มกระเป๋า จนกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วทั้งตลาด เป็นที่หมายปองของเหล่าสาวและไม่สาวตลอดจนหนุ่มๆที่อยากรวยทางลัดรวดเร็วทั้งหลาย จ้องมองหนุ่มน้อยทั้ง 2 กันตาเป็นมัน
อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนของ “ สุมาเต๊กไต๋ ” มาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มาชวนให้เข้าร่วมเปิดร้านขายของชำขนาดใหญ่หรูหราแบบทันสมัย ซึ่งต้องใช้ทุนเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ “ สุมาเต๊กไต๋ ” คิดไม่ตกอย่างหนักก็คือ การร่วมทำธุรกิจในครั้งนี้ คู่แข็งล้วนแต่มีทุนมากกว่าอีกทั้งใช้วิธีการขายที่เข้มแข็งกว่า ยากที่จะได้กำไรคืนทุนภายใน 5 ปีเป็นแน่
กอรปกับที่เมืองจีนยังปกครองแบบสังคมนิยม ไม่อนุญาตให้ประชาชนเป็นเจ้าของที่ดิน จึงทำให้ ” สุมาเต๊กไต๋ ” คิดมากจนนอนไม่หลับอยู่หลายคืน แต่ด้วยสายตาที่ยาวไกล และความที่เป็นคนกล้าได้แต่ไม่ยอมเสีย จึงตัดสินใจร่วมลงทุนกับเพื่อนที่เซี่ยงไฮ้ทันที โดยออกคำสั่งให้ อา 7 กับ อา 11 เอาร้าน “ 7 + 11 ” ออกหน้าลงทุน โดยใช้เงินสดที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือของร้าน เปิดร้านขายของชำหรูหราทันสมัยที่เซี่ยงไฮ้ โดยใช้ชื่อร้านใหม่ว่า “ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ขนาดใหญ่ ”
กิจการที่เซี่ยงไฮ้เป็นไปตามที่ “ สุมาเต๊กไต๋ ” คาดไว้ไม่มีผิด คู่แข่งที่ร่ำรวยกว่ามากหน้าหลายตา ทำให้ร้าน “ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ฯ ” ขาดทุนมหาศาล จนดึงให้กำไรของร้าน “ 7 + 11 ” ลดลงอย่างน่าใจหาย เหลือกำไรเพียงปีละไม่กี่อีแปะ สร้างความอึดอัดใจแก่บรรดาชาวบ้านที่ร่วมทุนของ ร้าน “ 7 + 11 ” เป็นอย่างยิ่ง ต่างบ่นกันเป็นแถว แต่ด้วยเงินส่วนแบ่งกำไรที่เจียดให้ปีละไม่กี่อีแปะ จึงทำให้เสียงบ่นเบาบางน้อยลง แม้จะไม่พอใจก็ตาม
เหตุการณ์เป็นอยู่อย่างนี้หลายปี จนชาวบ้านที่ร่วมทุนบางคนเห็นว่า หากตนเอาเงินไปทำธุรกิจอย่างอื่นน่าจะได้กำไรดีกว่าที่จะร่วมทุนกับร้าน “ 7 + 11 ” อีกต่อไป จึงค่อยๆทยอยถอนทุนออกไป จนทำให้ความนิยมของร้านตกต่ำลงเรื่อยๆ
และแล้ว วันหนึ่ง ชาวบ้านในตลาดได้ยินข่าวกระซิบมาว่า ทางการประเทศจีน ได้ออกกฏหมายอนุญาตให้ชาวบ้านทั่วไปเป็นเจ้าของที่ดินได้ และด้วยข่าวนี้นี่เอง ทำให้เกิดอีกข่าวต่อเนื่องมาว่า มีนายฝรั่งอาชีพนายหน้าที่ดิน มาติดต่อขอเซ้งร้าน “ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ ฯ ” เพื่อนำมาปล่อยเช่าอีกต่อหนึ่ง ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็คาดเดาว่า หากข่าวนี้เป็นจริง ต่อไปร้าน “ 7 + 11 ” ที่พวกเขาร่วมทุนอยู่ด้วย คงไม่ต้องแบกขาดทุนของร้าน “ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ฯ ” อีกต่อไป และคงได้เงินค่าเซ้งก้อนโตเก็บเข้ากระเป๋าเป็นแน่ จึงทำให้ความนิยมของร้าน “ 7 + 11 ” กลับมาเป็นที่นิยมอย่างมากมายล้นหลามอีกครั้ง สูงจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วันต่อมา มีข่าวประกาศจาก “ สุมาเต๊กไต๋ ” ติดหราอยู่หน้าตลาดแผ่นใหญ่ใจความว่า
“ ข้าฯ ในนามของ “ สุมาเต็กไต๋ ” กับ ตระกูล ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า เนื่องจาก ร้าน“ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ฯ ” ประสบกับการขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี มาบัดนี้ ข้าฯเล็งเห็นแล้วว่า ในฐานะที่ข้าฯ เป็นผู้ใหญ่ หัวหน้าของตระกูล ขอรับผิดชอบ โดยการขอรับซื้อกิจการทั้งหมดของร้าน “ ดอกบัวเซี่ยงไฮ้ฯ ” คืนจากเจ้าของเดิม พร้อมทั้งหนี้สินทั้งหมด ด้วยตั๋วแลกเงิน ซึ่งรับประกันโดยตระกูลของข้าฯ โดยตีมูลค่าให้ทั้งสิ้น 3,900 ล้านตำลึง จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน ”
ชาวบ้านโดยทั่วไปต่างดีใจที่ร้าน “ 7 + 11 ” ไม่ต้องแบกขาดทุนอีกต่อไป พร้อมกับสรรเสริญในความมีน้ำใจของเศรษฐี “ สุมาเต๊กไต๋ ” อย่างเซ็งแซ่ มีเพียงชาวบ้านบางคน ที่เคยค้าขายต่างถิ่นมาก่อนไม่เห็นด้วย พร้อมกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียดเสียงดังว่า
“ เจ้าสัวทำงี้ได้ไง ทีขาดทุนก็โยนให้พวกเราชาวบ้านรับกรรมมาหลายปี ทีจะมีคนเอาเงินก้อนใหญ่มหาศาลเป็นหมื่นล้านตำลึงทองมาเซ้งร้าน กลับรีบซื้อร้านคืนเป็นของตัวเอง เพื่อเอาเงินค่าเซ้งเข้ากระเป๋าเอง อย่างงี้เอาเปรียบพวกเราชัดๆนี่หว่า..“
ในบรรดาคนที่ยืนอ่านประกาศอยู่นั้น มีชายสูงอายุ ผมและหนวดเคราสีดอกเลา สวมหมวกปีกกว้างคลุมปกปิดใบหน้าอันเหี่ยวย่น ที่กรำแดดมาหลายปีปะปนอยู่ด้วย ยืนอ่านอย่างสงบ แล้วหลบกายถอยจากไปท่ามกลางเสียงสรรเสริญและดีใจของผู้คนชาวบ้านที่แออัดยัดเยียด
ก่อนที่ชายนิรนามจะสาวเท้าจ้ำเดินจากไปอย่างเร่งรีบ มีเสียงรำพึงที่สั่นระรัวปนหวาดกลัวเล็ดรอดออกจากปากของชายนิรนามอย่างแผ่วเบา
“ สุมาเต๊กไต๋ ผู้นี้ ใช้เคล็ดสุดยอดวิชา “ ลอกเนื้อ มังกร ” ได้แนบเนียนล้ำเลิศเหนือมนุษย์ธรรมดาจริงๆ ช่างอำมหิตยิ่งนัก ”
ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในเงามืดสลัวๆในค่ำคืนนั้นอย่างรวดเร็ว 😉
พฤษภาคม 19, 2007 เวลา 10:52 pm
อำมหิตยิ่งนัก
แต่นี่ก็หาใช่ครั้งแรกที่เถ้าแก่สุมาเต๊กไต๋ทำเยี่ยงนี้ไม่
มิถุนายน 26, 2007 เวลา 7:21 pm
สำนวนการแต่งดีมากเลยครับ ทำให้เข้าใจสถานะการได้ง่ายขึ้น ต้องขอบคุณมากครับ
สิงหาคม 16, 2007 เวลา 8:49 am
เยื่ยมมากท่าน เจ้าสำนัก …
เพียงข้าเวียนมา ก้ได้เห็นกระบวนยุทธ์…
……………………………
วรยุทธ์ ล้ำเลิศ อย่างนี้ วันหน้าจักขอชี้แนะ
เมษายน 20, 2008 เวลา 1:56 pm
น่าอ่านมากครับ แต่นี่เป็นความถนัดส่วนตัวของสุมาเต๊กไต๋นะครับ เราคงยากจะคาดเดาผลลัพธ์ ว่าดีลนี้จะเป็นยังไง แต่เราสามารถคาดเดาได้ว่าแรงจูงใจของสุมาเต๊กไต๋ มุ่งไปในทางที่เอากำไรเข้ากงสีครับ แต่ดีลนี้ถ้าจบแบบนี้จริงก็จะทำให้ร้าน 7+11 มีกำไรดีขึ้น แบบ WIN-win นะคับ เค้าวินเยอะ ชาวบ้านวินน้อย ได้เก็บเศษเนื้อกินคับ
เมษายน 25, 2008 เวลา 10:27 am
สวัสดีครับพี่แมกซ์ ผมหาพี่เจอจนได้
ตามหามานานครับ
คิดถึง ๆๆ